หน้าหลัก
พระพุทธบาทยอดเขาวงพระจันทร์
- รายละเอียด
- หมวด: Uncategorised
- เผยแพร่เมื่อ วันอังคาร, 31 มีนาคม 2558 16:52
- เขียนโดย Super User
- ฮิต: 5916
พระพุทธบาทยอดเขาวงพระจันทร์
นายจารุพงศ์ พลเดช
ประธานมูลนิธิเพื่อลิงลพบุรี
เมืองลพบุรีนั้นมีของดีมากมาย เสียดายที่คนหลายคนไม่รู้จักและไม่ได้ให้ความสำคัญ จนทำให้เกิดความไม่รู้เกิดขึ้นไปทั่ว แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีคำกล่าวไว้ว่า “สัพเพ สัตตา กัมมัสสกา กัมมะทายาทา “ ...สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น “ดังนั้น หากเรารับทำแต่กรรมดี มีความรู้ที่กว้างขวาง รู้จักของดีของบ้านเมือง ช่วยกันดูแลรักษา ทำนุบำรุงให้คงอยู่สถาพรสืบไป ก็จะเป็นกรรมดีของคนคนนั้นหรือชุมชนนั้นนั้นเอง การรู้จักของดีในบ้านเมืองนอกจากที่ได้ช่วยกันรักษา และทำนุบำรุงให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปแล้ว ยังทำให้ได้รู้จักรากเหง้าของตนเอง ในอันที่จะนำมาซึ่งความภาคภูมิใจ มาสู่ตนเองและชุมชน
ผมเองได้มีโอกาสได้พำนักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเขาวงพระจันทร์ อำเภอโคกสำโรง มาชั่วระยะเวลาหนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นเขาวงพระจันทร์ทุกวัน และทุกวันพระที่ผมจะสวดมนต์ตอนประมาณหนึ่งทุ่ม ของทุกวันพระนั้น จะได้เห็นเสียงไฟบนยอดเขาวงพระจันทร์สว่างไสวไปทั่ว ซึ่งเป็นแสงสว่างของไฟฟ้าที่ทางวัดได้เปิดตามเส้นทางขึ้นไปบนเขาวงพระจันทร์ ทุกวันพระ ก่อนการสวดมนต์ของผมเสมอ ทำให้สนใจอยากรู้ว่าบนยอดเขาสูงนั้น มีอะไรเป็นเครื่องดึงดูดใจให้คนเดินทางขึ้นไปบนยอดภูเขาสูงนั้นอย่างต่อเนือง ตลอดเวลา อยู่มาวันหนึ่ง ก็ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของหลวงปู่ฟัก (พระครูสมถ วิกรม) แห่งวัดเขาวงพระจันทร์ จึงขออนุญาตนำมาเล่าต่อโดยย่อ เพื่อให้เนื้อความได้รับการบันทึกไว้ในระบบอินเตอร์เน็ต เผยแพร่ไปทั่วโลก และจะได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและทราบความเป็นมาสืบไป ท่านได้เล่าให้ญาติโยมฟังถึงความเป็นมาของพระพุทธบาทบนยอดเขาวงพระจันทร์ไว้อย่างน่าฟัง ว่าท่านได้รับทราบจากการถ่ายทอดของพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ที่ได้นำศิษย์หลายคนมาขึ้นเขาวงพระจันทร์ และท่านได้พบและสนทนาด้วย พระคุณเจ้ารูปนั้น ได้เล่าให้ท่านฟังว่า
ความเป็นมา
เมื่อสมัยพุทธกาล มีพ่อค้าคนหนึ่งชอบค้าขายไปในต่างแดน และชอบเดินทางโดยทางเรืออยู่เป็นประจำ ในคราวหนึ่งได้จัดสิ่งของลงเรือเพื่อไปทำการค้าขายตามปกติ เมื่ออกเรือแล้ว ปรากฏว่าเรือเดินทางผิดทิศไปเจอเกาะเข้าเกาะหนึ่ง จึงแวะขึ้นไปบนเกาะ ไม่พบผู้ใดเลย เห็นแต่ต้นไม้จันทน์หอมเต็มไปหมดทั้งเกาะ เมื่อเห็นดังนั้น จึงเกิดความคิดว่า
“ ไม้ จันทน์ นี้ มีราคาขายสูงกว่าสินค้าของเราที่ขนมาเสียอีก จำเราจะขนเอาสินค้าของเราลงไว้บนเกาะนี้ให้หมดแล้วตัดเอาไม้จันทน์ลงแทน แล้วนำเรือกลับไปบ้าน คงได้กำไรอย่างงาม “
เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงได้ดำเนินการตามความคิดของตนเองจนแล้วเสร็จ ก็ออกเรือเดินทางมุ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ บนเกาะกลับมีปีศาจอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก พากันโกรธไม่พอใจที่มีคนมาตัดเอาไม้จันทน์ไปโดยไม่บอกกล่าว ตัดเอาตามอำเภอใจ จึงพากันติดตามเรือไปแล้วกระทำฤทธิ์ให้เกิดคลื่นลม เพื่อให้เรือล่ม คนจะได้เป็นผีเฝ้าทะเลไปเสีย พ่อค้าผู้เป็นเจ้าของเรือ เมื่อเห็นปรากฏการณ์พายุเกิดขึ้น ก็มีความตกใจมาก คิดว่า ตนเองต้องมาเสียชีวิตเป็นที่แน่นอน ทำให้พ่อค้าคนนั้นได้ระลึกถึงพี่ชายของตนเองที่เป็นพระ เพื่อขอความช่วยเหลือ และสัญญาว่าหากรอดไปได้ จะถวายทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการ เมื่อพระผู้เป็นพี่ชายได้รับทราบ ทาง ญาณ แล้ว ก็ได้มาปรากฏกายให้ปีศาจทั้งหลายได้เห็น แล้วเจรจาชี้แจง ปรับความเข้าใจกับเหล่าปีศาจ จนเป็นที่เข้าใจ จึงพากันกลับไปเกาะจนหมดสิ้น คลื่นลมก็สงบลง พ่อค้าก็สามารถนำเรือกลับไปถึงบ้านของตนเองด้วยความปลอดภัย เมื่อกลับไปถึงบ้านก็เข้าไปกราบพระพี่ชายแล้วแจ้งให้ทราบ พระพี่ชายจึงขอไม้จันทน์ทั้งหมดไว้ โดยให้น้องชายนำไปสร้างเป็นปราสาทไม้จันทน์หอม เพื่อถวายพระสัมมา สัม พุทธเจ้า เป็นที่ประทับ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็นำความไปกราบทูลเชิญเสด็จ ในระหว่างทางที่เสด็จไปยังปราสาทนั้น ได้เสด็จผ่านเขานางพระจันทร์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัจ จ พรรณฤาษี จึงทรงแวะโปรดสัจ จ พรรณฤาษี ให้มีสติระลึกชอบด้วยสัมมาทิฐิ แล้วเสด็จต่อไปยังปราสาทไม้จันทน์ที่พ่อค้านั้นสร้างถวาย ซึ่งสัจ จ พรรณฤๅษีก็ตามเสด็จไปด้วย หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จกลับ โดยมีฤๅษีสัจ จ พรรณตามไปด้วย เมื่อมาถึงเขานางพระจันทร์ พระองค์ทรงตรัสให้ฤๅษีพำนักอยู่ที่เขานางพระจันทร์ต่อไป ไม่ต้องตามเสด็จพระองค์ ฤาษีสัจจพรรณจึงขออาราธนาให้พระองค์ได้เสด็จประทับรอยฝ่าพระบาทไว้บนยอดเขา เมื่อตนรำลึกถึงพระพุทธองค์จะได้กราบไหว้สักการะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เสด็จลงและผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกแล้วแยกพระบาทเหยียบลงบนก้อนหินที่สูงที่สุดของเขานางพระจันทร์นี้ ปรากฏเป็นรอยพระพุทธบาท ที่ได้เห็นอยู่จนทุกวันนี้ มีขนาดพระบาทยาว ๑.๖๒ ๑/๒ เมตร ความกว้างตรงส่วนกลาง กว้าง ๖๒ เซนติเมตร (ภูเขานางพระจันทร์ ต่อมาภายหลังเรียกว่า ภูเขาวงพระจันทร์)
พระพุทธบาทยอดเขาวงพระจันทร์นั้น เป็นพระพุทธบาทที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ได้มีการบอกเล่าต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย จึงขอบอกไปยังทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้ สมควรได้หาโอกาสไปกราบสักการะสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อเป็น ศิ ริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว และพิสูจน์ความเข็มแข็งของร่างกายและจิตใจด้วย....
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์
- รายละเอียด
- หมวด: Uncategorised
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 12 มีนาคม 2558 17:05
- เขียนโดย Super User
- ฮิต: 9834
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์
นายจารุพงศ์ พลเดช
ประธานมูลนิธิเพื่อลิงลพบุรี
พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เป็นพระที่นั่งสำคัญองค์หนึ่งในพระนารายณ์ราชนิเวศน์เมืองลพบุรี เป็นพระที่นั่งขนาดเล็กที่เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเสด็จประทับในช่วงปลายรัชกาล จนสิ้นพระชนม์ ณ พระที่นั่งองค์นี้
พระที่นั่งองค์นี้เป็นอาคารทรงตึกแบบยุโรป ฐานด้านหน้าพระที่นั่งมีท่อน้ำดินเผาขนาดเล็กฝังอยู่ สำหรับระบายน้ำที่ขังอยู่ออกจากพื้นที่พระที่นั่ง ทางด้านทิศเหนือของพระที่นั่งมีภูเขาทำเป็นน้ำตกจำลอง ก่อด้วยอิฐฉาบปูนลักษณะเป็นฐานกว้างยอดแหลมสูงลดหลั่นกันลงมา ใต้ฐานยังคงมีท่อประปาดินเผาฝังอยู่ สันนิษฐานว่าคงเป็นท่อส่งน้ำเพื่อทำเป็นน้ำตก ไหลจากยอดมาสู่แอ่งน้ำด้านล่างให้ความร่มรื่น สวยงาม เย็นสบายแก่พระที่นั่งองค์นี้
จากบันทึกของ นิโกลาส แชร์แวส ชาวฝรั่งเศสได้บรรยายไว้ว่า...หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองคล้ายทองคำเมื่อยามต้องแสงตะวัน พระที่นั่งองค์นี้มีกำแพงแก้วล้อมรอบ ตรงมุมมีสระน้ำใหญ่ 4 สระ บรรจุน้ำบริสุทธิ์ เป็นที่สรงสนาน ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายใต้กระโจมซึ่งคลุมกั้น สระน้ำทางขวามือตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาจำลองซึ่งปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มและดอกไม้ซึ่งส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา มีน้ำพุใสจ่ายแจกให้แก่ธารน้ำทั้ง 4 ในบริเวณพระที่นั่ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงปลูกพันธ์ไม้ดอกด้วยพระหัตถ์เอง ตรงหน้าพระที่นั่งปลูกต้นส้ม มะนาว และพันธ์ไม้ในประเทศอย่างอื่นมีใบดกหนาทึบแม้ยามแดดร้อนตะวันเที่ยงก็ร่มรื่นอยู่เสมอ.....จากบันทึกดังกล่าว ทำให้มองเห็นภาพพระที่นั่งองค์นี้ชัดเจนขึ้น แสดงให้เห็นถึงความสน พระทัย ของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อการทำนุบำรุงพระที่นั่งและบริเวณรอบๆให้สวยงามเหมาะที่จะใช้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ตลอดรัชกาลที่ยาวนานถึง 32 ปี.....
วังนารายณ์
- รายละเอียด
- หมวด: Uncategorised
- เผยแพร่เมื่อ วันจันทร์, 16 กุมภาพันธ์ 2558 20:44
- เขียนโดย Super User
- ฮิต: 7472
วังนารายณ์
นายจารุพงศ์ พลเดช
ประธานมูลนิธิเพื่อลิงลพบุรี
คำว่า “วังนารายณ์”เป็นคำพูดที่ชินปากของคนลพบุรี แต่ชื่อเป็นทางการนั้นมีชื่อว่า “ พระนารายณ์ราชนิเวศน์” เป็นพระราชวังที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2209 บนเนื้อที่ 41 ไร่ ณ.เมืองลพบุรี เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ล่าสัตว์ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกเมือง พระองค์ทรงประทับอยู่ ณ. พระราชวังแห่งนี้ ประมาณ 8 ถึง 9 เดือนในช่วงปลายรัชกาลและเสด็จสวรรคต ณ.พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ 2232
ลักษณะเด่นของวังนารายณ์ก็คือ ซุ้มประตู โดยมีช่องใส่เทียนจำนวนมากในยามค่ำคืน เมื่อก้าวผ่านประตูเข้าไป ถึงเขตพระราชฐานชั้นกลางจะมีพระที่นั่งจันทรพิศาล ซึ่งเป็นที่ประทับออกว่าราชการแผ่นและประชุมองคมนตรี ลักษณะอาคารทรงตึก หลังคาประตูหน้าต่างเป็นศิลปะแบบไทยแท้ ด้านหน้าพระที่นั่งมีมุขเด็จ ยื่นออกมาสำหรับเสด็จออกให้ข้าราชการได้เข้าเฝ้า ด้านข้างเป็นพระที่นั่ง ดุสิตสวรรค์ธัญญามหาปราสาท ซึ่งเป็นพระที่นั่งท้องพระโรงมียอดแหลมทรงมณฑป ศิลปแบบไทยและฝรั่งเศสผสมผสานกัน ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชร ที่เสด็จออกเมื่อมีปฎิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า ท้องพระโรงด้านหน้าสร้างแบบฝรั่งเศส ตัวมณฑปที่อยู่ด้านหลังมีประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย คือ ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์ ในจดหมายเหตุของทูตฝรั่งเศสได้กล่าวถึงพระที่นั่งองค์นี้ว่า…” ตามผนังประดับด้วยกระจกเงาซึ่งนำมาจากฝรั่งเศส เพดานแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส 4 ช่อง ประดับด้วยลายดอกไม้ทองคำและแก้วผลึกที่ได้มาจากจีนงดงามมาก...”
วังนารายณ์ยังมีพระที่นั่งอีกหลายองค์ที่สมควรกล่าวถึง นับว่าวังนารายณ์นั้นเป็นสถานที่ ที่น่าสนใจและน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งเอาไว้คราวหน้าจะเล่าให้ฟังอีก.....
ลิงวอก
- รายละเอียด
- หมวด: Uncategorised
- เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดี, 05 กุมภาพันธ์ 2558 12:22
- เขียนโดย Super User
- ฮิต: 14204
ลิงวอก
นายจารุพงศ์ พลเดช
ประธานมูลนิธิเพื่อลิงลพบุรี
ลิงวอก เป็นลิงพันธ์หนึ่งในจำนวนห้าพันธ์ในประเทศไทยที่เราพบกัน นอกจาก
ลิงแสม(สะแหม) ลิงกัง ลิงเสนและลิงไอ้เงียะ แล้ว ลิงวอกในจังหวัดลพบุรี โดยเฉพาะในเขตเมืองลพบุรีแล้ว
จะมีจำนวนมากพอสมควร จะถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ เป็นลิงที่มีวิวัฒนาการไปมาก มีความเฉลียวฉลาด
ว่องไว ปีนป่ายต้นไม้ได้คล่องแคล่วมาก สามารถปรับตัวได้ดี ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่
ตนเองและฝูง เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมเมืองได้อย่างราบรื่น เช่น ปรับเปลี่ยนด้านอาหาร และเวลานอนของ
ตัวเองและฝูงให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยในเมืองได้เป็นอย่างดี มีการรับรู้ การเลียนแบบ และมีความจำได้ดีมาก
ลิงพันธ์วอกนี้ นอกจากจะเป็นลิงที่เฉลียวฉลาดแล้ว ก็ยังมีบุญคุณกับคนอีกมากมายด้วย ก็คือ นักวิจัย นิยมใช้
ลิงวอก เป็นสัตว์ทดสอบยาทดลองด้านชีววิทยา และจิตวิทยา การตรวจสอบแอนติบอดีในเลือดกรุ๊ปต่าง ๆ
ของคนเรานั้น ก็ได้มาจากการทดลองกับลิงวอกนี้เอง แถมคนเรายังชอบเอาลิงวอกมาหัดเล่นละครลิงอีกด้วย
ลักษณะเด่น
ลิงวอกเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Macaca
mulatta เป็นลิงที่ร่างกายอ้วนสั้น บริเวณหลังและหัวไหล่ และตะโพกมีสีน้ำตาลปนเทา ส่วนบริเวณ
ใต้ท้องและสีข้างมีสีอ่อนกว่า หางยาวประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวลำตัว ขนหางค่อนข้างยาวและฟู
มีการผลัดขนประมาณช่วงเดือน มิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปี โดยจะเริ่มที่บริเวณปากก่อนหลัง
จากนั้นก็เริ่มผลัดขนที่บริเวณหลัง ตัวเมียอาจมีขนสีแดงในฤดูผสมพันธ์ ขนที่หัวของลิงวอกจะชี้ตรงไป
ทางด้านหลัง ลิงวอกตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าลิงวอกตัวเมีย ตามปกติจะมีลำตัวยาวจนจรดหัวประมาณ
๔๗ -๕๘.๕ เซนติเมตร ความยาวของหางประมาณ ๒๐.๕ -๒๘ เซนติเมตร น้ำหนัก ๓- ๖ กิโลกรัม
มีขนบริเวณสองข้างแก้มม้วนวนเป็นก้นหอยอีกด้วย
ลักษณะอาหาร
ลิงวอกตามปกติแล้วก็กินอาหารตามธรรมชาติ เช่น กินผลไม้ กินผัก กินใบ
อ่อนของต้นไม้ แมลงต่าง ๆตลอดจนสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารตามธรรมชาติและพบอยู่ในบริเวณที่อยู่อาศัย
ของฝูงของตัวเอง ลิงวอกในเมืองลพบุรี ก็เป็นอีกพันธ์หนึ่งในจำนวน ๔ พันธ์ ที่อาศัยอยู่รวมกันลิง
วอกนั้นมีจำนวนมากกว่าลิงพันธ์อื่น ๆ ในปัจจุบันเราได้พบว่ามีการผสมข้ามพันธ์เกิดขึ้นในลิงลพบุรี ก็คือ
การผสมกัน
ระหว่างลิงวอก กับลิงแสม(สะแหม) กลายเป็นพันธ์ทางออกมาเป็นจำนวนมาก มีลักษณะแตกต่างออกไป
จากความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองความเปลื่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ได้มีการพัฒนาทางด้านการกิน
อาหารมากขึ้น อาหารที่ชื่นชอบของลิงวอกลพบุรี นอกจากจะเป็นพืชผัก ผลไม้ทุกอย่างแล้ว ยังสามารถกิน
ได้ทุกอย่างที่คนเรากิน การพัฒนาการกินนั้น อาจเนื่องมาจากความอดอยากหรืออาจเกิดจากความอยากรู้
อยากเห็นก็เป็นได้ เมื่อคนเข้าไปในตลาด ซื้อของกิน บางทีหากเผลอก็จะถูกลิงแย่งเอาไปกิน และลิงก็กิน
ทุกอย่างที่แย่งได้เหมือนกัน อาหารยอดนิยมในปัจจุบันก็ผันแปรไปตามคนให้เหมือนกัน บางที่คนเอากล้วย
เอาผัก มาให้ก็กินทิ้งกินขว้างแบบลิง ทำให้สกปรก เทอะเถอะไปหมด ต่อมามีคนเอาถั่วลิสงตราโก๋แก่มา
ให้กิน ก็กินหมดดีไม่เหลือขยะไว้ให้เห็นเลย อีกอย่างที่น่าแปลกใจก็คือ ชอบกินกระทิงครับ
ตอนหลังนี้ได้พยายามประชาสัมพันธ์ คนให้ว่าให้กิน เพราะลิงกินนะกินได้ครับ ลิงลพบุรี เก่งขนาดเปิด
ก๊อกน้ำดื่มได้ เปิดฝาขวดลิโพ หรือกระทิงแดงได้ครับ แต่เมื่อกินแล้ว จะขว้างขวดทิ้งขวด แตกสร้าง
ความเดือดร้อนมากเลยที่เดียว ตอนหลังเราปรับเป็นให้ยาคูลท์แทน
พฤติกรรมหลัก
ลิงวอกนั้น มักอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มีตัวผู้เป็นจ่าฝูง ซึ่งมักจะเป็นลิงวอก
ที่มีขนาดใหญ่ อายุมากแล้ว ตามธรรมชาติแล้ว ชอบอยู่ตามป่าที่มีโขดหินหรือบริเวณยอดเขา แต่สำหรับ
ในลพบุรีนั้น ลิงวอกชอบอาศัยบนยอดหลังคาตึกมากกว่า ชอบลงมาเดินเล่นบนพื้นดิน เป็นลิงที่เชื่องและ
ไม่ค่อยจะกลัวคนมากเท่าไรนัก พฤติกรรมหลักและการแบ่งกลุ่มแบ่งฝูงก็เช่นเดียวกับลิงแสม(สะแหม)
ในลพบุรี (สามารถดูเพิ่มเติมในบทความเรื่องลิงสะแหม) ลิงวอกจะเริ่มผสมพันธ์ได้เมื่ออายุได้ประมาณ
๓- ๔ ปีระยะตั้งท้องนาน ๕-๗ เดือน ออกลูกครั้งละ ๑ ตัว พฤติกรรมหลักนอกจากการกิน การถ่ายแล้ว
งานหลักของลิงวอกที่ต้องทำทุกโอกาสที่วาง ก็คือ การผสมพันธ์ เป็นเหตุให้จำนวนประชากรของลิง
ในลพบุรีเพิ่มขึ้นปีละเกือบ ๓๐%เลยที่เดียว แต่ธรรมชาติก็สร้างความสมดุลเสมอ เมื่อมีเกิดก็มีการตาย
เกิดขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการตายจากไปด้วยอายุขัยก็มี ถูกรถยนต์ชนตายก็มาก บางทีก็ถูกไฟฟ้า
ดูดเอาบ้าง ถูกยิงบ้าง หรือกัดกันเอง ต่อสู้กันในการเป็นจ่าฝูง ก็มีเหตุถึงตายเหมือนกัน
ลิงวอกนับว่าเป็นลิงที่มีจำนวนมากในลพบุรี เป็นลิงที่ฉลาดและเชื่อง
แต่ขอบอกอย่างนะครับ ลิงลพบุรี ไม่ว่าจะเป็นลิงวอก ลิงกัง ลิงแสมหรือลิงเสน ก็ตาม เป็นลิงที่มีอิสระมาก
ไม่ชอบการจับเนื้อต้องตัวครับ หากท่านเห็นว่าเชื่อง อยากจับตัวอาจถูกกัดต้องไปฉีดยาก็เป็นได้นะครับ
...ขอบอก...